|
ดาวเทียม ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด
จำแนกตามแนวโคจรที่มันโคจรอยู่ดังนี้
- ดาวเทียมที่อยู่ในวงโคจรทั่วไป มีวงโคจรเป็นรูปวงรี มีระบาบไม่แน่นอน
ตำแหน่งของตัวดาวเทียมเมื่อเทียบกับโลกก็ไม่แน่นอน มักใช้ในการสำรวจสภาพภูมิอากาศ
ภูมิประเทศ แหล่งทรัพยกรธรณี และงานทางด้านการทหาร
- ดาวเทียมค้างฟ้า (Geostationary Satellite) เป็นดาวเทียมที่อยู่กับที่
เมื่อเทียบกับโลกมีวงโคจรอยู่ในระนาบเดียวกับเส้นศูนย์สูตร อยู่สูงจากผิวโลกประมาณ
35,786 กิโลเมตร วงโคจรพิเศษนี้อาจเรียกว่า " วงโคจรค้างฟ้า " หรือ "
วงโคจรคลาร์ก " เพื่อเป็นเกียรติแก่นาย Arthur C. Clarke
ผู้ค้นพบวงโคจรนี้
|
ประเภทของดาวเทียม
ดาวเทียม คือ วัตถุที่เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นโดยมันสมองของมนุษย์
ซึ่งสามารถจะลอยอยู่ในอวกาศ และคจรรอบโลก
หรือขับเคลื่อนไปยังจุดหมายปลายทางที่มนุษญ์ต้องการได้
โดยอาศัยกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ
ดาวเทียมมีมากมายหลายประเภท สามารถแบ่งประเภทการใช้งานได้ 11 ประเภท ดังนี้
- ดาวเทียมเพื่อการสื่อสารระหว่างจุดต่อจุด
- ดาวเทียมเพื่อการสื่อสารระหว่างดาวเทียม
- ดาวเทียมเพื่อการสื่อสารเคลื่อนที่บนบก ในน้ำ และในอากาศ
- ดาวเทียมเพื่อการสื่อสารวิทยุกระจายเสียง และโทรทัศน์
- ดาวเทียมเพื่อการสำรวจโลก สำรวจทรัพยากรธรรมชาติ
- ดาวเทียมเพื่อการสำรวจอวกาศ
- ดาวเทียมเพื่อการพยากรณ์อากาศ
- ดาวเทียมเพื่อการปฎิบัติในห้วงอวกาศ
- ดาวเทียมเพื่อกิจการวิทยุสมัครเล่น
- ดาวเทียมเพื่อการกำหนดตำแหน่ง
- ดาวเทียมเพื่อการนำร่องเรือ
|
|
ย่านความถี่ในการส่งสัญญาณดาวเทียม |
|
ดาวเทียมแต่ละดวงนั้นเป็นเหมือนสถานีทวนสัญญาณ หรือที่เรียกว่า รีพีทเตอร์
(Repeater) ซึ่งติดตั้งอยู่สูงมากถึง 35,786 กิโลเมตร
จึงต้องทำหน้าที่เป็นทั้งเครื่องรับ และเครื่องส่งเพื่อติดต่อกับสถานีภาคพื้นดิน
โดยสถานีภาคพื้นดินจะส่งสัญญาณในช่วง "ขาขึ้น" ที่ความถี่หนึ่งซึ่งเรียกว่า Uplink
ไปให้ดาวเทียม เมื่อดาวเทียมได้รับก็จะทำการเปลี่ยนความถี่
ที่รับได้ให้เป็นอีกความถี่หนึ่ง และส่งกลับมาให้สถานีภาคพื้นดินอื่นๆ
ซึ่งสัญญาณที่ส่งลงมาจากดาวเทียมจะเรียกว่า Downlink หรือความถี่
"ขาลง" โดยสัญญาณที่ส่งลงมานี้ สามารถจะครอบคลุมพื้นผิวโลกได้ถึง
40% ของจำนวนพื้นที่โลกทั้งหมด
* ความถี่เพื่อการสื่อสารผ่านดาวเทียม
*
|
|
ช่องสัญญาณของดาวเทียม
ดาวเทียมทุกดวงที่ใช้อยู่นี้จะมีช่องสัญญาณซึ่งเรียกว่า ทรายสปอนเดอร์
(Transponder) ซึ่งมีหลายๆรูปแบบ เพื่อใช้กับการสื่อสารลักษณะต่างๆกัน
ดาวเทียมดวงหนึ่งๆ สามารถจะมีทรายสปอนเดอร์ได้มากถึง 24 ช่อง หรืออาจจะมากกว่า
เพื่อใช้ในงานต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน
โดยแต่ละช่องสามารถใช้ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ได้หนึ่งสัญญาณหรือสามารถรับ -
ส่งสัญญาณโทรศัพท์พูดติดต่อพร้อมกันได้ เป็นจำนวนหลายพันคู่สาย
สัญญาณความถี่ในทุกๆ ทรานสปอนเดอร์จะมีการจัดขั้วของคลื่น (Polarization)
เอาไว้ให้มีทั้งขั้วทางแนวตั้ง (Vertical) และขั้วทางแนวนอน (Horizontal)
เพื่อให้เหมือนกับการขยายช่องสัญญาณ
จากย่านความถี่ที่มีจำนวนอันจำกัดให้ได้ช่องสัญญาณมากขึ้น
ในการรับสัญญาณที่สถานีภาคพื้นดินนั้น สามารถแยกรับได้ด้วยตนเองว่าจะรับทางแนวตั้ง
หรือแนวนอน หรือจะรับทั้ง 2 แนวก็ได้ ซึ่งดาวเทียมจำนวนมาก จะมีทรานสปอนเดอร์ที่รับ
- ส่งสัญญาณทางแนวตั้ง แลแนวนอนอย่างละ 12 ทรานสปอนเดอร์ และมีความถี่ซ้อนกันอยู่
แต่จะไม่เกิดการรบกวนของสัญญาณ (Interference) กันเอง
ทรานสปอนเดอร์ของดาวเทียมจะทำงานที่ความถี่สูงกว่าความถี่ที่ใช้ในสถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดิน
เนื่องจากความถี่ที่ใช้นี้ อยู่ในย่าน SHF (Super High Frequency )
จึงไม่มีผลกระทบจากสภาพของอากาศ หรือการเกิดซันสปอต (Sunspot) เท่าใดนัก
ทำให้การสื่อสารด้วยดาวเทียมนี้ มีความเชื่อถือได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ความถี่ส่วนใหญ่ที่ใช้ในกิจการส่งสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม
เพื่อส่งตรงไปยังที่พักอาศัย ในย่านเอเซีย จะใช้ความถี่ย่านตั้งแต่ 3.7 - 4.2
GHz หรือมักจะเรียกว่า " ความถี่ย่าน C " (C-Band) และจะใช้ความถี่ที่สูงกว่า
คือตั้งแต่ 10.95 - 12.75 GHz ในการส่งสัญญาณรายการโทรทัศน์ต่างๆ
ลงมาสู่ที่พักอาศัยของประชาชนโดยตรง ช่วงความถี่ดังกล่าวจะเรียกว่า
" ความถี่ย่าน KU-Band " |
อ่านต่อหน้า <1>, <2>, <3>, <4> ,<5>,
<6>,
<7>,
<8>, <9>, <10>